เปิดลิสต์ 10 วิธีขจัดคราบบนกระเบื้อง ที่คนรักบ้านต้องรู้!

เปิดลิสต์ 10 วิธีขจัดคราบบนกระเบื้อง ที่คนรักบ้านต้องรู้!ไม่ว่าจะบ้านหลังใหญ่หรือคอนโดห้องเล็ก พื้นกระเบื้องก็เป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ช่วยเติมความเรียบง่าย สะอาดตา และเป็นระเบียบให้กับพื้นที่อยู่อาศัย แต่ในขณะเดียวกัน พื้นกระเบื้องก็เป็นจุดที่มักสะสมคราบสกปรกต่าง ๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรือถูกใช้งานบ่อยอย่างห้องน้ำ ห้องครัว ระเบียง และโถงทางเดิน คราบสบู่ คราบน้ำมัน คราบหินปูน คราบเชื้อรา หรือแม้แต่คราบฝังแน่นจากน้ำที่ใช้ทำความสะอาดประจำวัน วิธีขจัดคราบบนกระเบื้อง ก็สามารถเปลี่ยนพื้นบ้านที่เคยสะอาดสดใสให้ดูหมองหม่นและไม่น่ามองได้ในพริบตา
หลายคนอาจเคยพยายามใช้แปรงขัดแรง ๆ หรือซื้อผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดราคาแพงมาใช้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าคราบบางอย่างยังดื้อดึง ขัดเท่าไหร่ก็ไม่ออก หรือออกแค่ผิว ๆ พื้นที่เคยดูใหม่กลับกลายเป็นหม่นหมองลงเรื่อย ๆ โดยไม่รู้จะทำอย่างไรให้กลับมาเงางามเหมือนเดิม ที่สำคัญคือการละเลยหรือปล่อยให้คราบสะสมเป็นเวลานาน ไม่เพียงแค่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบ้านเท่านั้น แต่อาจนำไปสู่การสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนในบ้านด้วย
บทความนี้ได้รวบรวม “10 วิธีขจัดคราบบนกระเบื้อง ” ที่ทำได้จริง เห็นผลชัดเจน และใช้ของใกล้ตัวในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นของธรรมชาติอย่างน้ำส้มสายชู เบกกิ้งโซดา หรือวิธีแบบ DIY ที่ช่วยให้คุณจัดการคราบแต่ละประเภทได้อย่างตรงจุด พร้อมแถมเคล็ดลับเล็ก ๆ ในการดูแลพื้นกระเบื้องให้สะอาดนานขึ้น ประหยัดแรง ประหยัดเวลา และเพิ่มความภูมิใจให้กับบ้านของคุณทุกวัน
1. เบกกิ้งโซดา + น้ำเปล่า
หนึ่งในสูตรทำความสะอาดยอดนิยมที่หลายบ้านเลือกใช้ คือการผสม เบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่า ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัย ประหยัด และได้ผลดี โดยเฉพาะกับคราบฝังแน่นที่สะสมตามพื้นผิวต่าง ๆ เช่น พื้นกระเบื้อง พื้นปูน หรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์บางชนิด สูตรนี้ไม่เพียงช่วยขจัดคราบสกปรก แต่ยังลดกลิ่นอับได้อีกด้วย
วิธีทำและวิธีใช้
ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่าในอัตราส่วนประมาณ 3:1 (เบกกิ้งโซดา 3 ส่วนต่อน้ำเปล่า 1 ส่วน) คนให้เข้ากันจนได้เนื้อข้นคล้ายยาสีฟัน จากนั้นใช้แปรงสีฟันเก่าหรือแปรงขัดพื้นแตะเนื้อครีมที่ได้ แล้วป้ายลงบนคราบที่ต้องการทำความสะอาด ทิ้งไว้ประมาณ 10–15 นาที เพื่อให้เบกกิ้งโซดาทำปฏิกิริยาและช่วยแยกคราบออกจากพื้นผิว จากนั้นขัดเบา ๆ แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบออกให้หมด
เหมาะสำหรับคราบแบบไหน?
- คราบฝุ่นสะสมตามร่องกระเบื้อง
- คราบดำบนพื้นห้องน้ำหรือห้องครัว
- คราบเหนียวจากคราบน้ำมันที่พื้นผิวเคาน์เตอร์หรือพื้นกระเบื้อง
- รอยขูดหรือคราบดำบนพื้นผิวที่เช็ดธรรมดาไม่ออก
ตัวอย่างการใช้งานจริง
เช่น หากพื้นห้องน้ำมีคราบดำสะสมตามแนวร่องกระเบื้อง ใช้สูตรนี้ป้ายตามแนวเส้นและทิ้งไว้สักพักก่อนขัดเบา ๆ ด้วยแปรงขัดพื้น จะเห็นว่าคราบหลุดออกอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ หรือถ้าในครัวมีคราบน้ำมันเหนียวบนกระเบื้อง ใช้สูตรนี้ก็ช่วยให้คราบลื่น ๆ เหล่านั้นหายไปในพริบตา

2. น้ำส้มสายชูขาว
หลายคนอาจรู้จักน้ำส้มสายชูขาวดีในฐานะวัตถุดิบประกอบอาหาร แต่ความจริงแล้ว น้ำส้มสายชูขาวยังเป็นตัวช่วยทำความสะอาดที่ทรงพลังและปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกิดคราบสะสมได้ง่าย เช่น ห้องน้ำและห้องครัว
ความลับอยู่ที่ “กรดอ่อน” ตามธรรมชาติในน้ำส้มสายชู ซึ่งมีคุณสมบัติในการ ละลายคราบสบู่ หินปูน คราบน้ำ และคราบสกปรกฝังแน่น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้สารเคมีรุนแรง
วิธีใช้:
- เตรียมน้ำส้มสายชูขาวแบบไม่เจือจาง หรือสามารถผสมน้ำในอัตราส่วน 1:1 หากต้องการลดกลิ่นและความเข้มข้น
- เทใส่ขวดสเปรย์แล้วฉีดพ่นลงบนบริเวณที่มีคราบ เช่น
- คราบหินปูนรอบก๊อกน้ำ
- คราบสบู่ตามขอบอ่างล้างหน้า
- คราบมันในซิงก์ครัวหรือบนพื้นผิวกระเบื้อง
- ทิ้งไว้ประมาณ 10–20 นาที เพื่อให้กรดในน้ำส้มสายชูทำปฏิกิริยากับคราบ
- ใช้แปรงหรือฟองน้ำขัดเบา ๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
เหมาะสำหรับทำความสะอาดพื้นที่ต่อไปนี้:
- ห้องน้ำ: ก๊อกน้ำ ฝักบัว อ่างล้างหน้า พื้นกระเบื้อง
- ห้องครัว: อ่างล้างจาน บริเวณเตา คราบมันบนเคาน์เตอร์
- กระจกหรือหน้าต่าง: ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำในอัตราส่วน 1:1 แล้วใช้เช็ดกระจกให้ใสสะอาดไร้คราบน้ำ
3. น้ำยาล้างจาน + น้ำอุ่น
ครัวเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เกิดคราบสกปรกได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะ คราบมันจากการปรุงอาหาร ซึ่งหากปล่อยไว้นานไม่เพียงทำให้พื้นลื่นและดูสกปรก แต่ยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกด้วย โชคดีที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ราคาแพงหรือสารเคมีแรง ๆ เพราะแค่มี น้ำยาล้างจานและน้ำอุ่น ก็สามารถทำความสะอาดคราบมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมต้องน้ำอุ่น?
- ร่องยาแนวที่มีราดำ
- ผนังห้องน้ำ กระเบื้อง พื้นปูนที่มีคราบฝังแน่น
- คราบเหลืองจากสบู่หรือคราบน้ำในห้องน้ำ
- บริเวณที่ชื้น เช่น ขอบอ่างล้างหน้า ขอบอ่างอาบน้ำ
น้ำอุ่นช่วยให้คราบไขมันที่แข็งตัวหรือจับตัวแน่นบนพื้นผิว ละลายออกง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับน้ำยาล้างจานที่มีคุณสมบัติลดแรงตึงผิวและแยกโมเลกุลไขมันออกจากพื้นผิว จึงช่วยให้ขจัดคราบได้เร็วและสะอาดยิ่งขึ้น โดยไม่ทิ้งความลื่นไว้ให้เสี่ยงลื่นล้มในภายหลัง
วิธีใช้งาน:
- เตรียมน้ำอุ่นประมาณ 1 ลิตร (อุณหภูมิพออุ่นมือ ไม่ต้องร้อนจัด)
- หยด น้ำยาล้างจาน 1–2 ช้อนชา ลงไปในน้ำอุ่น แล้วคนให้ละลายเข้ากัน
- ใช้ผ้าสะอาดหรือฟองน้ำจุ่มน้ำที่ผสมไว้ แล้วบิดให้หมาด
- เช็ดหรือถูเบา ๆ บนพื้นบริเวณที่มีคราบมัน หรือคราบอาหารติดแน่น
- หากคราบฝังแน่นมาก ให้ทิ้งส่วนผสมไว้บนคราบประมาณ 5–10 นาที ก่อนเช็ดอีกครั้ง
- เช็ดซ้ำด้วยผ้าชุบน้ำสะอาดเพื่อไม่ให้มีคราบน้ำยาหลงเหลือ
เหมาะสำหรับ:
- พื้นกระเบื้องในห้องครัว โดยเฉพาะบริเวณใกล้เตา ปากดูดควัน หรืออ่างล้างจาน
- พื้นเคาน์เตอร์ที่มีคราบไขมันหรือซอสหก
- ตู้ครัว ผนังด้านหลังเตา หรือบริเวณที่มือสัมผัสบ่อย
4. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide)
ถ้าคุณกำลังเผชิญกับ คราบฝังลึกที่ทำความสะอาดด้วยวิธีธรรมดาไม่ออก หรือพบรอยด่างจากเชื้อราตามผนัง พื้นกระเบื้อง หรือแม้แต่ขอบยาแนวในห้องน้ำ “ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์” คือคำตอบที่คุณตามหา
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) เป็นของเหลวใสที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อและออกซิไดซ์ จึงเหมาะมากสำหรับใช้ทำความสะอาดคราบที่ดื้อด้าน รวมถึงคราบเชื้อรา ราดำ และคราบสกปรกที่ฝังแน่นบนพื้นผิวต่าง ๆ โดยเฉพาะในบริเวณที่ชื้นและอับ
วิธีใช้งาน:
- เตรียม ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3% ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายยา
- ผสมกับ เบกกิ้งโซดา ให้กลายเป็นเนื้อครีมข้น ๆ
- อัตราส่วนแนะนำ: ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 2 ส่วน ต่อ เบกกิ้งโซดา 1 ส่วน
- ทาส่วนผสมลงบนบริเวณที่มีคราบ หรือร่องยาแนวที่มีเชื้อรา
- ปล่อยทิ้งไว้ 10–15 นาที เพื่อให้ส่วนผสมทำปฏิกิริยาขจัดคราบและฆ่าเชื้อรา
- ใช้แปรงขัดพื้นหรือแปรงสีฟันเก่าขัดเบา ๆ
- ล้างออกด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้ง
ใช้ได้ดีกับ:
5. ผงซักฟอก + แปรงขัด
เมื่อพูดถึงการทำความสะอาดคราบฝังแน่นตามพื้นกระเบื้อง โดยเฉพาะ “ร่องยาแนว” หลายคนอาจมองข้ามวิธีดั้งเดิมอย่างการใช้ “ผงซักฟอก” ร่วมกับ “แปรงขัด” แต่ความจริงแล้ว วิธีนี้ยังคง ได้ผลดีและคุ้มค่า โดยไม่ต้องพึ่งน้ำยาราคาแพงหรือสารเคมีแรง ๆ เลย
ทำไมผงซักฟอกถึงช่วยขจัดคราบได้?
ผงซักฟอกเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติช่วยแยกและสลายสิ่งสกปรก รวมถึง คราบฝุ่น คราบน้ำมัน และเชื้อราเบื้องต้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่ได้มีฤทธิ์แรงเท่าสารทำความสะอาดเฉพาะทาง แต่เมื่อใช้ร่วมกับ “แปรงขัดที่เหมาะสม” เช่น แปรงสีฟันเก่า หรือแปรงขัดพื้น ก็สามารถเข้าถึงซอกเล็ก ๆ ได้ดี โดยเฉพาะตามร่องยาแนวที่เป็นจุดสะสมคราบเรื้อรัง
วิธีใช้งาน:
- ใช้ ผงซักฟอกปริมาณเล็กน้อย โรยหรือแต้มลงบนจุดที่มีคราบ โดยเฉพาะตามร่องยาแนว
- ใช้ แปรงสีฟันเก่า หรือแปรงขัดพื้นขนาดเล็ก ขัดเบา ๆ ในแนวทแยงหรือวนเป็นวงกลม เพื่อให้ผงซักฟอกแทรกซึมและยกคราบขึ้น
- หากคราบฝังแน่นมาก สามารถผสมน้ำอุ่นเล็กน้อย หรือปล่อยทิ้งไว้ 5–10 นาที ก่อนขัดอีกครั้ง
- ล้างออกด้วยน้ำสะอาด และเช็ดให้แห้ง
ใช้ได้ดีกับ:
- ร่องยาแนวกระเบื้องในห้องน้ำ
- ขอบผนังหรือมุมห้องที่มีคราบฝุ่นสะสม
- พื้นบริเวณทางเข้าบ้านที่สัมผัสกับสิ่งสกปรกจากรองเท้า

6. น้ำมะนาว
“น้ำมะนาว” ไม่ได้มีดีแค่ให้รสเปรี้ยวในอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติที่มี กรดซิตริก (Citric Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติในการขจัดคราบหินปูน คราบสบู่ และคราบสกปรกที่สะสมบนพื้นหรือผนังกระเบื้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังปลอดภัยต่อผิวหนังและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
น้ำมะนาวจึงเป็นอีกหนึ่ง “ตัวช่วยทำความสะอาดจากธรรมชาติ” ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงสารเคมีรุนแรง โดยเฉพาะในบ้านที่มีเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยง
ทำไมต้องใช้น้ำมะนาว?
กรดในน้ำมะนาวสามารถละลายคราบที่เกิดจากแร่ธาตุ เช่น คราบหินปูนที่พบบ่อยในห้องน้ำ หรือคราบสบู่ที่สะสมตามผนังกระเบื้อง ซึ่งปกติแล้วจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กรด แต่การใช้น้ำมะนาวถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและหาง่ายกว่า
วิธีใช้งาน:
- คั้นน้ำมะนาวสด ประมาณ 2–3 ลูก หรือมากกว่านั้นตามพื้นที่ที่ต้องการทำความสะอาด
- เทน้ำมะนาวลงบนบริเวณที่มีคราบ เช่น ร่องกระเบื้อง ผนังห้องน้ำ ขอบอ่าง หรือก๊อกน้ำ
- ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5–10 นาที เพื่อให้กรดซึมลงในคราบ
- ใช้ แปรงขัดหรือฟองน้ำ ขัดเบา ๆ จนกว่าคราบจะหลุดออก
- ล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง
เพิ่มประสิทธิภาพด้วยเบกกิ้งโซดา:
สำหรับคราบฝังแน่น แนะนำให้ผสมน้ำมะนาวกับเบกกิ้งโซดาในอัตราส่วน 1:1 จะได้เนื้อครีมที่สามารถเกาะผิวแน่นและช่วยเพิ่มแรงขัดโดยไม่ทำลายพื้นผิว เมื่อทาทิ้งไว้แล้วขัดเบา ๆ จะช่วยให้คราบหลุดออกง่ายยิ่งขึ้น และยังช่วยกำจัดกลิ่นอับในห้องน้ำอีกด้วย
ใช้ได้ดีกับ:
- พื้นและผนังกระเบื้องในห้องน้ำ
- ขอบอ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ หรือสุขภัณฑ์
- บริเวณก๊อกน้ำหรือฝักบัวที่มีคราบตะกรัน
- คราบสบู่ที่สะสมตามผิวกระจกหรือกระเบื้อง
7. น้ำยาขจัดคราบหินปูนสำเร็จรูป
คราบหินปูน หรือคราบตะกรัน ที่เกิดจากน้ำประปามีแร่ธาตุสูง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในห้องน้ำ ทั้งบริเวณก๊อกน้ำ ฝักบัว อ่างล้างหน้า หรือกระเบื้องผนัง ซึ่งเมื่อสะสมเป็นเวลานานจะทำให้พื้นผิวดูหมองคล้ำและทำความสะอาดยากขึ้น การใช้ น้ำยาขจัดคราบหินปูนสำเร็จรูป จึงเป็นวิธีที่สะดวกและได้ผลรวดเร็วสำหรับจัดการกับคราบเหล่านี้
วิธีการเลือกใช้น้ำยาขจัดคราบหินปูน:
- เลือกน้ำยาที่ ระบุว่าเหมาะกับพื้นผิวกระเบื้อง หรือวัสดุที่คุณต้องการทำความสะอาด เช่น กระเบื้องเซรามิก กระเบื้องแกรนิตโต้ หรือหินธรรมชาติ
- ควรเลือกสูตรที่มีคำว่า “ปลอดสารกัดกร่อน” หรือสูตรสำหรับบ้าน เพื่อความปลอดภัยขณะใช้งาน
- อ่านฉลากและคำแนะนำอย่างละเอียดก่อนใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียต่อพื้นผิวหรือสุขภาพ
วิธีใช้งานอย่างปลอดภัย:
- สวม ถุงมือยาง เพื่อปกป้องผิวมือจากสารเคมี
- ฉีดพ่นหรือลงน้ำยาขจัดคราบในบริเวณที่มีคราบหินปูนสะสม เช่น ก๊อกน้ำ ฝักบัว ร่องยาแนว หรือขอบอ่าง
- ปล่อยทิ้งไว้ตามเวลาที่ระบุในฉลาก (มักจะประมาณ 5–10 นาที) เพื่อให้น้ำยาทำงานละลายคราบ
- ใช้ฟองน้ำหรือแปรงขัดเบา ๆ เพื่อช่วยขจัดคราบออก
- ล้างน้ำสะอาดให้หมดจด และเช็ดให้แห้งเพื่อลดคราบน้ำ
8. แอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์เป็นหนึ่งในน้ำยาทำความสะอาดที่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับการขจัดคราบหมึก ปากกา หรือรอยปากกาเคมีที่ติดอยู่บนพื้นผิวต่าง ๆ เช่น พรม พื้น ผ้าหรือแม้แต่โซฟา ที่บางครั้งคราบเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจและยากที่จะลบออกด้วยวิธีทั่วไป
ทำไมแอลกอฮอล์ถึงขจัดคราบหมึกได้ดี?
แอลกอฮอล์มีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลาย (solvent) ที่สามารถละลายหมึกและสารเคมีที่อยู่ในหมึกได้อย่างรวดเร็ว ทำให้คราบหมึกคลายตัวและหลุดออกจากผิวผ้าโดยไม่ต้องขัดถูแรง ๆ นอกจากนี้ยังระเหยได้เร็ว จึงไม่ทิ้งความชื้นหรือความเปียกชื้นบนผิวสัมผัส
วิธีการใช้แอลกอฮอล์ขจัดคราบหมึก:
- เตรียมสำลีก้อนหรือผ้าสะอาดที่ไม่หลุดลุ่ย
- ชุบแอลกอฮอล์ลงบนสำลีก้อนหรือผ้านั้นในปริมาณพอเหมาะ (ไม่ต้องชุ่มเกินไป)
- เช็ดเบา ๆ บนบริเวณที่มีคราบหมึกหรือรอยปากกาอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการขยายคราบ
- หลีกเลี่ยงการขัดถูแรงเกินไป เพราะอาจทำให้ผ้าหรือพื้นผิวเสียหายหรือสีซีดจางได้
- หลังจากเช็ดคราบออกแล้ว ให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดซ้ำอีกครั้งเพื่อลดกลิ่นแอลกอฮอล์และช่วยให้ผิวแห้งเร็วขึ้น
9. น้ำยาฟอกขาว
คราบเชื้อราที่เกิดขึ้นตามบริเวณต่าง ๆ โดยเฉพาะในห้องน้ำ เช่น ตามขอบผนัง ร่องยาแนวกระเบื้อง หรือพื้นที่ที่มีความชื้นสูง มักสร้างความไม่สวยงามและกลิ่นเหม็น รวมถึงเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ การใช้น้ำยาฟอกขาวจึงเป็นวิธีหนึ่งที่นิยมใช้เพราะสามารถฆ่าเชื้อราและคราบฝังแน่นได้อย่างรวดเร็ว
ทำไมน้ำยาฟอกขาวจึงเหมาะกับการจัดการคราบเชื้อรา?
น้ำยาฟอกขาวมีสารเคมีหลักคือ โซเดียมไฮโปคลอไรต์ (Sodium Hypochlorite) ซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยทำลายเส้นใยเชื้อราและป้องกันไม่ให้เชื้อราแพร่ขยายบริเวณที่ถูกทำความสะอาด นอกจากนี้ยังช่วยฟอกคราบสีดำหรือคราบเก่า ๆ ให้จางลงหรือหายไปได้
วิธีใช้น้ำยาฟอกขาวอย่างปลอดภัยและถูกต้อง
- ผสมน้ำยาฟอกขาวกับน้ำเปล่าในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยทั่วไปคือประมาณ 1 ส่วนของน้ำยาฟอกขาวต่อ 3-4 ส่วนของน้ำ (ตามคำแนะนำบนฉลาก)
- ใช้สเปรย์ฉีดพ่นหรือผ้าชุบน้ำยาผสมนี้เช็ดบริเวณที่มีคราบเชื้อรา เช่น ร่องยาแนว ขอบห้องน้ำ หรือมุมที่มีความชื้นสูง
- ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้น้ำยาทำงานฆ่าเชื้อและละลายคราบ
- ใช้แปรงขัดเบา ๆ ถ้าจำเป็น เพื่อช่วยขจัดคราบเชื้อราที่ฝังลึก
- ล้างออกด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้งสนิทเพื่อลดความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุของเชื้อรา
10. ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง (Pressure Washer)
การทำความสะอาดพื้นกระเบื้องนอกบ้านหรือบริเวณระเบียงที่มักมีคราบฝังแน่น เช่น คราบดิน โคลน รอยคราบน้ำฝน หรือคราบตะไคร่น้ำ อาจเป็นเรื่องยากเมื่อใช้แค่การขัดถูด้วยมือหรือผงซักฟอกทั่วไป เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง (Pressure Washer) จึงกลายเป็นตัวช่วยที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้พื้นผิวกลับมาสะอาดเหมือนใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
ทำไมต้องใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง?
เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงสามารถปล่อยน้ำออกมาด้วยแรงดันที่มากกว่าน้ำธรรมดาอย่างมาก ทำให้น้ำสามารถแทรกซึมและชะล้างคราบฝังแน่นหรือสิ่งสกปรกที่ติดแน่นอยู่ตามร่องรอยต่าง ๆ ได้ดีโดยไม่ต้องใช้แรงมาก นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลาและลดความเหนื่อยล้าจากการขัดถูด้วยมือ
วิธีการใช้งานเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงให้ปลอดภัยและได้ผลดี:
- เตรียมพื้นที่ให้โล่งและเก็บของที่อาจเสียหายจากน้ำแรงดันออกให้หมด
- เลือกหัวฉีดและตั้งแรงดันน้ำให้เหมาะสมกับพื้นผิว เช่น พื้นกระเบื้องหรือหินธรรมชาติ เพื่อป้องกันการเสียหาย
- เริ่มฉีดน้ำจากมุมหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่งอย่างเป็นระบบ โดยเว้นระยะห่างหัวฉีดกับพื้นประมาณ 30-50 ซม.
- หากมีคราบฝังแน่น อาจฉีดน้ำซ้ำหรือใช้ร่วมกับน้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสมก่อนฉีดน้ำ
- หลังทำความสะอาดแล้ว ปล่อยให้พื้นผิวแห้งสนิทก่อนใช้งานต่อไป
หากคุณอ่านบทความนี้แล้วมีความสนใจที่จะสั่งซื้อเครื่องดูดฝุ่น เครื่องขัดพื้นคุณภาพ ติดต่อเราได้ที่ BermudaBKK