ทำความเข้าใจระดับค่าสีฝุ่น PM 2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพ

ทำความเข้าใจระดับสี PM 2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขในหลายพื้นที่ของโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ฝุ่น PM 2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กพอที่จะสามารถแทรกซึมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ และกระแสเลือดได้โดยตรง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตนี้ หน่วยงานภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ได้พัฒนาระบบแจ้งเตือนคุณภาพอากาศ โดยใช้ “ระดับสี” เป็นตัวสื่อสารความรุนแรงของมลพิษทางอากาศ ให้ประชาชนสามารถรับรู้และตัดสินใจป้องกันตนเองได้อย่างทันท่วงที
บทความนี้จะพาคุณ ทำความเข้าใจระดับสี PM 2.5 แต่ละสีหมายถึงอะไร และผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละระดับนั้นมีอะไรบ้าง เพื่อให้คุณสามารถรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น
PM 2.5 คืออะไร?
PM 2.5 ย่อมาจาก Particulate Matter ขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผมมนุษย์ ฝุ่นละอองขนาดจิ๋วนี้มีลักษณะเบาและลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อเราหายใจเข้าไป PM 2.5 สามารถเล็ดลอดผ่านจมูกและคอ ลงสู่หลอดลม ลึกถึงถุงลมปอด และบางส่วนอาจเข้าสู่กระแสเลือด กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ในระดับที่รุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับทางเดินหายใจหรือหัวใจ
แหล่งกำเนิดหลักของ PM 2.5 ได้แก่:
- การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากรถยนต์และยานพาหนะ
- ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม
- การเผาเศษวัสดุในที่โล่ง เช่น เผาขยะ เผาไร่ หรือเผาหญ้าแห้ง
- ฝุ่นจากการก่อสร้าง หรือฝุ่นจากดินแห้งในพื้นที่โล่ง
ความแตกต่างระหว่าง PM 2.5 และ PM 10
แม้ทั้งสองชนิดจะเป็นฝุ่นละอองในอากาศ แต่มี ขนาดและผลกระทบต่อร่างกายต่างกัน
- PM 10 คือฝุ่นขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ซึ่งยังใหญ่กว่า PM 2.5 โดยมักสะสมอยู่ในระบบทางเดินหายใจตอนบน เช่น จมูก คอ และหลอดลม
- PM 2.5 มีขนาดเล็กและอันตรายกว่า เพราะสามารถผ่านแนวป้องกันของร่างกายลงลึกถึงปอด และเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตได้
ด้วยขนาดที่เล็กจนมองไม่เห็นและความสามารถในการเข้าสู่ร่างกายได้ลึกกว่า PM 2.5 จึงเป็นฝุ่นพิษที่เงียบแต่ร้ายแรง และควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
ระดับสีค่าฝุ่น PM 2.5 สีไหนหมายถึงอะไร
เพื่อให้ประชาชนเข้าใจความเสี่ยงจากค่าฝุ่นในแต่ละวัน หน่วยงานสิ่งแวดล้อมได้แบ่งระดับคุณภาพอากาศตาม “สี” ซึ่งสะท้อนระดับความอันตราย โดยพิจารณาจากค่า PM 2.5 ในหน่วยไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (µg/m³)
สี | ค่าฝุ่น (µg/m³) | ความหมาย | คำแนะนำ |
---|---|---|---|
🟢 เขียว | 0-25 | คุณภาพอากาศดี | ปลอดภัย ออกกำลังกายกลางแจ้งได้ |
🟡 เหลือง | 26-37 | ปานกลาง | ยังพอใช้ได้ แต่อาจกระทบคนแพ้ง่าย |
🟠 ส้ม | 38-50 | เริ่มกระทบกลุ่มเสี่ยง | เด็กและผู้สูงอายุควรระวัง |
🔴 แดง | 51-90 | กระทบต่อทุกคน | ลดกิจกรรมนอกบ้าน ใส่หน้ากาก |
🟣 ม่วง | 91-150 | อันตรายสูง | ทุกคนควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกบ้าน |
🟤 น้ำตาล | >150 | อันตรายร้ายแรง | อยู่ในบ้าน ปิดหน้าต่าง ใช้เครื่องฟอกอากาศ |
มาตรฐานจากกรมควบคุมมลพิษ (ประเทศไทย)
ผลกระทบของ PM 2.5 ต่อสุขภาพ
เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กมากจนสามารถทะลุผ่านแนวป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น ขนจมูกหรือเมือกในทางเดินหายใจ และซึมลึกเข้าสู่ปอด รวมถึงระบบไหลเวียนโลหิตได้ มลพิษนี้จึงก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ครอบคลุมหลายระบบในร่างกาย
ผลกระทบหลัก ได้แก่:
- ระบบทางเดินหายใจ: ทำให้เกิดการอักเสบในหลอดลม หายใจติดขัด ไอเรื้อรัง หอบหืดกำเริบ หรือโรคถุงลมโป่งพอง
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด: เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด และอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- โรคเรื้อรังและมะเร็ง: มีการเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด โรคหลอดเลือดสมอง และการเสื่อมของอวัยวะภายใน
- ผลต่อพัฒนาการและสุขภาพของกลุ่มเสี่ยง:
- เด็กเล็ก: อาจมีผลกระทบต่อการพัฒนาปอดและสมองในระยะยาว
- ผู้สูงอายุ: เสี่ยงต่อการกำเริบของโรคประจำตัว
- หญิงตั้งครรภ์: มีโอกาสเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือทารกน้ำหนักน้อย
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว: เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน จะมีอาการแย่ลงหากได้รับฝุ่น PM 2.5 ต่อเนื่อง
สถานการณ์ PM 2.5 ในประเทศไทยเป็นอย่างไร
ประเทศไทยประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวและฤดูแล้ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นมักพุ่งสูงกว่าค่ามาตรฐาน ความเข้มข้นของฝุ่นละอองในอากาศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและเขตเมืองใหญ่
ช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นสูง:
- ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์): อากาศเย็น ลมสงบ ทำให้ฝุ่นสะสมใกล้ผิวดิน ไม่กระจายตัว
- ฤดูแล้ง (มีนาคม – พฤษภาคม): มีการเผาในที่โล่งจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม
จังหวัดที่ได้รับผลกระทบบ่อย ได้แก่:
- เชียงใหม่ – ติดอันดับเมืองที่มีค่าฝุ่นสูงระดับโลกในบางช่วงของปี
- ลำปาง – พบการเผาในที่โล่งและลักษณะภูมิประเทศเป็นแอ่งกระทะ ทำให้ฝุ่นไม่กระจาย
- กรุงเทพมหานคร – การจราจรหนาแน่น การก่อสร้าง และสภาพอากาศปิดในฤดูหนาว ทำให้ค่าฝุ่นเกินมาตรฐานบ่อยครั้ง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาฝุ่นในไทย:
- พฤติกรรมการเผาในภาคเกษตร: เช่น การเผาไร่อ้อยและเศษวัสดุการเกษตร เป็นแหล่งปล่อยมลพิษหลักในพื้นที่ชนบท
- ภูมิประเทศ: พื้นที่ที่อยู่ในแอ่งหรือหุบเขา เช่น เชียงใหม่ ลำปาง มักเกิดการสะสมของฝุ่นมากกว่าพื้นที่เปิด
- กิจกรรมในเมือง: การก่อสร้าง การจราจร และโรงงานอุตสาหกรรม เป็นตัวกระตุ้นปัญหาในเขตเมือง
ตัวอย่าง ดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI⁺) และมลพิษทางอากาศ PM2.5 ใน กรุงเทพฯ • 15:52, เม.ย. 17

เทคโนโลยีหรือแนวทางใหม่ ๆ ที่อาจช่วยลด PM 2.5
ท่ามกลางวิกฤตฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและสุขภาพของประชาชน การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่จึงกลายเป็นความหวังสำคัญในการรับมือและลดปัญหานี้อย่างยั่งยืน ทั้งในระดับเมือง ระดับชุมชน และระดับอุตสาหกรรม
นวัตกรรมฟอกอากาศในเมือง
- ต้นไม้ฟอกอากาศ (Air-Purifying Tree): เป็นโครงสร้างเทียมที่เลียนแบบต้นไม้จริง ใช้พัดลมและแผ่นกรองฝุ่นเพื่อดูดอากาศรอบข้างแล้วปล่อยออกมาในรูปแบบที่สะอาดขึ้น เช่น “CityTree” ที่ใช้ในยุโรป
- หอกรองฝุ่น (Smog Tower): หอคอยขนาดใหญ่ที่สามารถดูดอากาศรอบเมืองแล้วกรองฝุ่นออกด้วยระบบไฟฟ้าสถิตหรือเทคโนโลยี HEPA
- เครื่องฟอกอากาศกลางแจ้งและเครื่องดูดฝุ่นเมือง: นำมาใช้ตามพื้นที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ ป้ายรถเมล์ หรือถนนที่มีค่าฝุ่นสูง
การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์พลังงานสะอาด
- รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไม่ปล่อยไอเสียหรือเขม่าควัน ซึ่งต่างจาก รถเครื่องยนต์สันดาป ที่เป็นแหล่งกำเนิด PM 2.5 สำคัญในเขตเมือง
- นโยบายส่งเสริม EV จึงเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยลดมลพิษจากยานพาหนะในระยะยาว
ระบบอัตโนมัติและ AI ในโรงงาน
- เซนเซอร์ตรวจจับฝุ่นแบบเรียลไทม์: ใช้ตรวจสอบและควบคุมการปล่อยฝุ่นในกระบวนการผลิต
- AI วิเคราะห์แนวโน้มการปล่อยมลพิษ: ช่วยวางแผนการลดมลพิษล่วงหน้า หรือตัดการทำงานของระบบที่เกินค่ามาตรฐาน
- ระบบพ่นน้ำอัตโนมัติเพื่อลดฝุ่น: ถูกนำมาใช้ตามไซต์ก่อสร้าง หรือถนนที่มีฝุ่นจากรถบรรทุก
อีกทางการช่วยลดฝุ่น เครื่องดูดฝุ่น และ เครื่องฟอกอากาศ
ข้อดีของเครื่องฟอกอากาศ:
- การกรองฝุ่น PM 2.5: เครื่องฟอกอากาศที่มีฟิลเตอร์ HEPA หรือฟิลเตอร์ชนิดอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพสามารถดักจับฝุ่นละออง PM 2.5 ได้
- ลดมลพิษภายในบ้าน: ไม่เพียงแต่ฝุ่นละออง เครื่องฟอกอากาศยังสามารถกรองกลิ่นไม่พึงประสงค์ ไอระเหยจากสารเคมี และสารมลพิษที่อาจมีอยู่ในบ้าน
- เหมาะกับผู้มีโรคภูมิแพ้: เครื่องฟอกอากาศช่วยลดการสะสมของฝุ่นที่กระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ เช่น ไอ จาม หอบหืด
ข้อดีของเครื่องดูดฝุ่นที่มีฟิลเตอร์ HEPA:
- การกรองฝุ่นที่มีขนาดเล็ก: ฟิลเตอร์ HEPA สามารถดักจับฝุ่นขนาดเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน ซึ่งรวมถึงฝุ่น PM 2.5
- ทำความสะอาดได้ทั่วถึง: เครื่องดูดฝุ่นสามารถทำความสะอาดทั้งพื้น, พรม, และเฟอร์นิเจอร์ ช่วยกำจัดฝุ่นที่มองไม่เห็น
- ลดอาการภูมิแพ้: การใช้เครื่องดูดฝุ่นช่วยลดการสะสมของฝุ่นที่เป็นสาเหตุของอาการภูมิแพ้และโรคทางเดินหายใจ
หากคุณอ่านบทความนี้แล้วมีความสนใจที่จะสั่งซื้อเครื่องดูดฝุ่นคุณภาพ ติดต่อเราได้ที่ BermudaBKK