7 วิธี หยุดกลิ่นเครื่องดูดฝุ่นของคุณ

7 วิธี หยุดกลิ่นเครื่องดูดฝุ่นของคุณ การดูดฝุ่นไม่ใช่งานโปรดของใครแน่นอน ด้วยเส้นผมที่ฝังแน่นอยู่ในพรม หรือเศษอาหารที่เกาะติดตามขอบตู้ในครัว มันมักจะทำให้เราต้องเหงื่อตกเมื่อทำเสร็จ แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นคือ “เครื่องดูดฝุ่นที่มีกลิ่นเหม็น” ซึ่งอาจทำให้ประสบการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

เครื่องดูดฝุ่นทำงานโดยการดูดอากาศเข้าไปพร้อมกับฝุ่นและสิ่งสกปรก จากนั้นกรองสิ่งสกปรกออกแล้วปล่อยอากาศกลับออกมา ปัญหาคือ ถ้าเครื่องดูดฝุ่นของคุณมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ อากาศที่ถูกปล่อยออกมาก็จะพัดพากลิ่นนั้นไปทั่วบ้านขณะที่คุณใช้งาน ส่งผลให้กลิ่นไม่น่าชื่นใจนั้นลอยฟุ้งอยู่นานเป็นชั่วโมง และไม่ว่าคุณจะพยายามทำอะไร กลิ่นนั้นก็จะกลับมาทุกครั้งที่หยิบเครื่องดูดฝุ่นขึ้นมาใช้

แต่ก่อนที่คุณจะรีบวิ่งไปซื้อเครื่องใหม่ ไม่ต้องกังวลไป ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปพบกับ 7 วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเครื่องดูดฝุ่น หยุดกลิ่นเครื่องดูดฝุ่นของคุณ เพื่อให้บ้านของคุณสะอาดสดชื่นอยู่เสมอ มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้าง

คำเตือนก่อนเริ่ม: หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันหอมระเหย

ก่อนที่เราจะเริ่มต้น บางเว็บไซต์อาจแนะนำให้ใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อทำให้เครื่องดูดฝุ่นมีกลิ่นหอมสดชื่นขึ้น เช่น การหยดน้ำมันลงบนสำลีก้อนแล้วใส่เข้าไปในถังเก็บฝุ่น หรือทาลงบนแผ่นกรองโดยตรง แต่เราไม่แนะนำให้ทำเช่นนี้เลย ตามคำกล่าวของ Asaph Ooi หัวหน้าฝ่ายโปรแกรมผลิตภัณฑ์ดูแลพื้นของ Dyson ได้ให้ความเห็นไว้ว่า:

“ถึงแม้ว่าเราจะชื่นชอบไอเดียการหาวิธีลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้าน แต่เราไม่แนะนำให้ใส่วัตถุแปลกปลอมขนาดใหญ่เข้าไปในถังของเครื่องดูดฝุ่น Dyson โดยเจตนา เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบไซโคลนหลัก และทำให้พลังดูดลดลงได้

“นอกจากนี้ เราไม่แนะนำให้ผู้ใช้ปล่อยให้เครื่องดูดฝุ่นสัมผัสกับของเหลวใดๆ รวมถึงน้ำหรือน้ำมันหอมระเหย เจ้าของเครื่องควรอ่านคำแนะนำในคู่มือที่มาพร้อมกับเครื่องตอนซื้อ และการใช้งานเครื่องนอกเหนือจากที่ออกแบบไว้อาจทำให้การรับประกันสิ้นสุดลง”

ดังนั้น หากคุณต้องการให้เครื่องดูดฝุ่นมีอายุการใช้งานยาวนานและทำงานได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น ให้ยึดตามขั้นตอนที่เราจะแนะนำต่อไปนี้แทนค่ะ!

1. ขจัดสิ่งอุดตัน

กลิ่นเหม็นมักจะมาจากภายในเครื่องดูดฝุ่นเอง อาจมีสิ่งอุดตันอยู่ในท่อดูด หรือมีเศษสิ่งสกปรกตกค้างในถังเก็บฝุ่น ดังนั้น การทำความสะอาดเครื่องดูดฝุ่นอย่างล้ำลึกจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ

เริ่มแรก ปิดสวิตช์และถอดปลั๊กออก (ถ้าเป็นรุ่นมีสาย) จากนั้นถอดชิ้นส่วนต่างๆ ออกมาแล้วกำจัดสิ่งอุดตันที่มองเห็น สิ่งอุดตันมักเกิดขึ้นบริเวณทางเข้าตัวเครื่องหรือด้านบนของถุงเก็บฝุ่น (ถ้าเป็นรุ่นมีถุง) เพราะฉะนั้น หลังจากถอดท่อออกแล้ว ควรตรวจสอบจุดเหล่านี้ให้ดี นอกจากนี้ คุณต้องตัดเส้นผมที่พันอยู่รอบๆ แปรงหมุนออกด้วย เพราะมันจะลดประสิทธิภาพการดูดฝุ่นลง บางรุ่นมีร่องออกแบบมาให้เลื่อนกรรไกรตัดตามแนวแปรงได้ง่ายขึ้น ซึ่งช่วยให้สะดวกมาก

เคล็ดลับจาก GHI: วิธีเช็กสิ่งอุดตันในท่อดูดทำได้ง่ายๆ เพียงยกท่อขึ้นส่องกับแสงแล้วมองทะลุผ่าน ถ้าสิ่งอุดตันอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงหรือกำจัดยาก คุณสามารถแช่ท่อในน้ำเพื่อช่วยให้ขจัดออกได้ง่ายขึ้น

2. ทำความสะอาดตัวเครื่อง

เมื่อจัดการสิ่งอุดตันเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำความสะอาดส่วนที่เหลือ อุปกรณ์เสริมที่ไม่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า เช่น หัวดูดร่องแคบ แปรงปัดฝุ่น และท่อดูด โดยทั่วไปสามารถล้างได้ด้วยน้ำอุ่นผสมสบู่ แม้แต่หัวดูดพื้นก็อาจล้างด้วยน้ำอุ่นได้ ตราบใดที่ไม่มีส่วนประกอบไฟฟ้าอยู่ แต่ถ้าไม่แน่ใจ ควรตรวจสอบคู่มือของเครื่องก่อนนะคะ

สำหรับเครื่องดูดฝุ่นแบบไร้ถุง การถอดถังเก็บฝุ่นออกมาล้างด้านในด้วยน้ำสบู่ก็สำคัญมาก เพราะที่นี่มักมีเศษสกปรกสะสมอยู่เยอะ ส่วนด้านนอกของตัวเครื่องสามารถเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำสบู่หมาดๆ แต่ต้องระวังอย่าให้โดนส่วนที่เป็นไฟฟ้าเช่นเคย หลังจากล้างแล้ว ปล่อยให้อุปกรณ์ทุกชิ้นแห้งสนิทก่อนประกอบกลับเข้าที่

3. ทำความสะอาดแผ่นกรอง

แผ่นกรองที่อุดตันมักเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องดูดฝุ่นมีกลิ่นเหม็น เพราะอากาศต้องไหลผ่านเศษฝุ่นที่สะสมอยู่ก่อนจะถูกระบายออกมา การอุดตันนี้ยังสร้างแรงกดดันให้เครื่องทำงานหนักขึ้น เนื่องจากระบายอากาศได้ไม่ดี ส่งผลให้เครื่องร้อนเกินไปและยิ่งทำให้กลิ่นแย่ลง บางรุ่นที่ทันสมัยอาจมีระบบแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาทำความสะอาดแผ่นกรอง แต่ถ้าไม่มี คุณจะสังเกตได้จากประสิทธิภาพที่ลดลง

โชคดีที่แผ่นกรองส่วนใหญ่สามารถถอดออกและล้างได้ แต่ควรตรวจสอบคู่มือของเครื่องก่อนเพื่อความแน่ใจ บางเครื่องมีแผ่นกรองมากกว่าหนึ่งชิ้น และไม่ใช่ทุกชิ้นที่ล้างได้ บางอันอาจต้องเปลี่ยนใหม่แทน (หรือแค่เคาะฝุ่นออกที่ถังขยะ) แม้แต่แผ่นกรองที่ล้างได้ก็ต้องเปลี่ยนในที่สุด ดังนั้นควรตรวจสอบข้อมูลนี้ล่วงหน้า

วิธีทำความสะอาดแผ่นกรองให้ทำตามคู่มือ โดยทั่วไปเริ่มจากเคาะฝุ่นส่วนเกินลงถังขยะ จากนั้นล้างด้วยน้ำเย็น ค่อยๆ ใช้มือหรือแปรงนุ่มขจัดสิ่งสกปรกออก เมื่อน้ำที่ไหลผ่านใสสะอาดแล้ว สะบัดแผ่นกรองเหนืออ่างล้างจานเพื่อกำจัดหยดน้ำสุดท้าย แล้วใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ ก่อนวางทิ้งไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทดีให้แห้งสนิท ต้องรอให้แห้งจริงๆ (อย่างน้อย 24 ชั่วโมง) ก่อนใส่กลับ และควรทำให้แห้งเร็วที่สุด เพราะถ้าชื้นนานอาจเกิดกลิ่นอับ ซึ่งจะยิ่งทำให้ปัญหาแย่ลงค่ะ

4. ใช้เบกกิ้งโซดาดูดกลิ่น

เบกกิ้งโซดา (หรือโซเดียมไบคาร์บอเนต) เป็นตัวกำจัดกลิ่นชั้นเยี่ยม เพราะมันสามารถทำให้โมเลกุลกลิ่นทั้งที่เป็นกรดและด่างในอากาศเป็นกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงไม่แปลกที่เราใช้มันแก้ปัญหากลิ่นเหม็นในตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า หรือห้องน้ำ และแน่นอนว่ามันช่วยกู้สถานการณ์เครื่องดูดฝุ่นที่มีกลิ่นได้ด้วย

วิธีการคือ โรยเบกกิ้งโซดาปริมาณเล็กน้อยลงบนพรมแล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดขึ้นมา เบกกิ้งโซดาจะเข้าไปจัดการกับกลิ่นภายในเครื่องได้ดี โดยเฉพาะถ้ากลิ่นนั้นมาจากถุงเก็บฝุ่น แต่ต้องระวังอย่าดูดเยอะเกินไป เพราะถ้ามีเบกกิ้งโซดามากเกินอาจทำให้เกิดการอุดตัน ซึ่งจะพาคุณย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นอีกครั้ง แถมยังอาจทำให้การรับประกันเป็นโมฆะได้ ดังนั้นควรเช็กกับแบรนด์ก่อนว่าเครื่องรุ่นของคุณเหมาะกับวิธีนี้หรือไม่ ถ้าเป็นรุ่นมีถุง คุณสามารถใส่เบกกิ้งโซดาลงในถุงโดยตรงได้เลย

5. พิจารณาสิ่งที่คุณดูดเข้าไป

แม้ว่าเครื่องดูดฝุ่นจะเก่งกาจในการเก็บฝุ่นและเส้นผม แต่ก็มีบางอย่างบนพื้นบ้านที่เราควรหลีกเลี่ยง เศษอาหารเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น เพราะมันจะเริ่มเน่าเสียจากภายในเครื่องดูดฝุ่น ถ้าคุณไม่เทถังเก็บฝุ่นทิ้งทันที หรือถ้ามันถูกเก็บไว้ในถุงดูดฝุ่น กลิ่นไม่พึงประสงค์ก็จะเริ่มก่อตัวขึ้น และถ้าปล่อยทิ้งไว้นานจนเกิดเชื้อรา กลิ่นอับชื้นก็อาจตามมา

แน่นอนว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทุกครั้ง เศษอาหารเล็กๆ น้อยๆ คงไม่เป็นปัญหามาก แต่คุณไม่ควรดูดอาหารปริมาณมากหรือชิ้นใหญ่ๆ เข้าไป เพราะนอกจากจะทำให้เกิดกลิ่นแล้ว ยังอาจอุดตันเครื่องและลดประสิทธิภาพการทำงานได้ การกวาดพื้นครัวด้วยที่โกยผงและแปรงก่อนดูดฝุ่นสักรอบจะช่วยลดปัญหานี้ได้มาก และป้องกันไม่ให้เครื่องดูดฝุ่นต้องรับมือกับสิ่งสกปรกที่มีกลิ่น นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการดูดสิ่งที่มีกลิ่นแรงอื่นๆ เช่น ทรายแมวหรือก้อนดินด้วย

ส่วนขนสัตว์เลี้ยงนั้นเครื่องดูดฝุ่นจัดการได้ดี แต่ถ้ามันเป็นสาเหตุของกลิ่น ลองพิจารณาวิธีลดผลกระทบ เช่น หวีขนหรืออาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงบ่อยขึ้น เพื่อลดปริมาณขนและกลิ่นที่กระจายอยู่ในบ้าน

6. เททิ้งเป็นประจำ

จากข้อที่แล้ว การเททิ้งสิ่งสกปรกออกจากเครื่องดูดฝุ่นเป็นประจำก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพื่อให้เครื่องระบายอากาศได้ดี ถ้าคุณใช้รุ่นไร้ถุง ควรเทถังทิ้งหลังใช้งานทุกครั้ง และอย่าให้ฝุ่นเกินเส้นบอกระดับสูงสุดบนถัง ตัวฉันเองก็เคยเจอปัญหานี้บ่อยกับ Dyson ของฉัน มันมักจะหยุดทำงานและมีสิ่งอุดตันที่ต้องค่อยๆ เคาะออกตอนเทถัง

เวลาเท ควรทำในถังขยะเพื่อป้องกันฝุ่นฟุ้งกระจาย หรือถ้าคุณมีอาการแพ้ ให้นำไปเทนอกบ้านจะดีกว่า มิฉะนั้น คุณอาจต้องดูดฝุ่นรอบถังขยะอีกรอบเลยทีเดียว

สำหรับรุ่นที่มีถุง คุณต้องรอจนถุงเต็มก่อนเปลี่ยน โดยเครื่องดูดฝุ่นส่วนใหญ่จะมีไฟแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลา แต่ถ้าไม่มี คุณสามารถดูด้วยตาเปล่าได้ และใช้โอกาสนี้ตรวจดูว่ามีอะไรในถุงที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหรือไม่ ห้ามเทถุงแล้วนำมาใช้ซ้ำ เพราะจะลดประสิทธิภาพของเครื่องลง ระวังอย่าใส่ของมากเกินไปด้วย เพราะอาจนำไปสู่การอุดตันหรือข้อผิดพลาดในการทำงาน

7. เก็บไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท

ถ้าคุณเก็บเครื่องดูดฝุ่นในที่มืด อับชื้น และไม่มีอากาศถ่ายเท นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้แบคทีเรียเติบโตภายในเครื่อง ซึ่งจะยิ่งทำให้กลิ่นแย่ลง ควรเก็บเครื่องดูดฝุ่นในที่ที่มีอากาศไหลเวียนดี และหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงเพื่อป้องกันความร้อนสูงเกินไป ที่เก็บควรเป็นจุดที่หยิบใช้งานสะดวก อย่างของฉัน ฉันเก็บไว้ใกล้ถังขยะ ทำให้เททิ้งและจัดเก็บหลังใช้ได้ง่าย

สำหรับเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย การใช้ที่วางหรือขาตั้งจะช่วยได้มาก มิฉะนั้น หลายรุ่นอาจต้องพิงกำแพงเพื่อตั้งให้ตรง แต่ถ้าไม่ยึดให้ดีก็อาจล้มได้ง่าย และอาจขูดขีดกำแพงของคุณไปด้วย บางขาตั้งยังสามารถเก็บอุปกรณ์เสริมทั้งหมดได้ด้วย ซึ่งถือเป็นข้อดีเพิ่มเติมค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก goodhousekeeping

หากคุณอ่านบทความนี้แล้วมีความสนใจที่จะสั่งซื้อเครื่องดูดฝุ่นคุณภาพ ติดต่อเราได้ที่ BermudaBKK

การทำความสะอาด เครื่องดูดฝุ่น

ปัญหาเครื่องดูดฝุ่นทั่วไป และวิธีแก้ไขเบื้องต้น

Similar Posts