10 เทคนิค การดูแลบ้านในช่วงฤดูฝน ให้บ้านปลอดภัย

10 เทคนิค การ ดูแลบ้านในช่วงฤดูฝน ให้บ้านปลอดภัย เมื่อฤดูฝนมาถึง หลายคนอาจรู้สึกโล่งใจที่อากาศเย็นลง แต่สำหรับเจ้าของบ้าน นี่อาจเป็นฤดูกาลที่ต้องรับมือกับปัญหาจุกจิกไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นคราบโคลนตามพื้นบ้าน น้ำรั่วซึม ความชื้นสะสม ไปจนถึงกลิ่นอับและเชื้อราตามพรมหรือเฟอร์นิเจอร์ผ้า หากไม่ดูแลตั้งแต่ต้น ปัญหาเล็กๆ เหล่านี้อาจลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบทั้งสุขภาพและค่าใช้จ่าย
โชคดีที่ปัจจุบันมีอุปกรณ์ทำความสะอาดสมัยใหม่ ที่ช่วยให้การดูแลบ้านช่วงหน้าฝนง่ายขึ้นกว่าเดิม เช่น เครื่องดูดฝุ่นดูดน้ำที่ช่วยจัดการน้ำขังและคราบเปียกบนพื้น เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงที่ล้างคราบตะไคร่และดินโคลนได้รวดเร็ว ไปจนถึงเครื่องซักพรมที่คืนความสะอาดให้กับพรมหรือเบาะที่ดูดซับความชื้นไว้
บทความนี้จะพาคุณไปพบกับ 10 เทคนิค ดูแลบ้านในช่วงฤดูฝน พร้อมไอเดียการใช้เครื่องมือทำความสะอาดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้บ้านของคุณสะอาด แห้ง และปลอดภัยตลอดฤดูฝนนี้
10 เทคนิคการดูแลบ้านในช่วงฤดูฝน
- 1. ตรวจเช็คหลังคาและฝ้าเพดานก่อนฝนตกหนัก
การรั่วซึมของหลังคาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดในฤดูฝน ควรสังเกตว่ามีแผ่นกระเบื้องแตกหักหรือหลุดออกหรือไม่ รวมถึงฝ้าเพดานมีคราบน้ำหรือไม่ ถ้าพบให้รีบเรียกช่างมาตรวจสอบก่อนฝนจะตกหนัก
ตัวอย่าง: บ้านของคุณพบคราบน้ำบนฝ้าเหนือห้องนอน หลังจากตรวจสอบพบว่าแผ่นกระเบื้องหลุด 2 แผ่น รีบเปลี่ยนทันทีจึงป้องกันปัญหาน้ำซึมเข้าบ้านได้ทัน
- 2. ซีลขอบหน้าต่างและประตูด้วยซิลิโคนกันรั่ว
ขอบยางที่เสื่อมสภาพทำให้น้ำฝนซึมเข้ามาได้ ใช้ซิลิโคนหรือยางกันน้ำชนิดพิเศษปิดรอยรั่วบริเวณขอบประตูและหน้าต่างให้แน่นหนา
ตัวอย่าง: คุณใช้ซิลิโคนใสอุดรอยแตกรอบวงกบหน้าต่างกระจก หลังฝนตกหนักก็ไม่มีน้ำไหลเข้ามาในบ้านอีกเลย
- 3. ล้างรางน้ำฝนและท่อระบายอุดตัน
ใบไม้ ดิน หรือขยะที่สะสมในรางน้ำทำให้ระบายน้ำไม่ทัน ควรหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนฝนตก
ตัวอย่าง: ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดล้างท่อระบายรอบบ้าน ทำให้คราบตะไคร่และดินหลุดออกง่าย ไม่ต้องใช้แรงขัดมาก
- 4. ตัดแต่งต้นไม้รอบบ้าน
ต้นไม้ที่ชิดบ้านเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้กิ่งไม้หักลงมาทับหลังคาหรือสายไฟ ควรตัดแต่งให้พอดีและเว้นระยะห่างจากตัวอาคาร
ตัวอย่าง: คุณตัดต้นมะม่วงที่กิ่งโน้มทับหลังคา ก่อนพายุฤดูฝนจะพัดมา ทำให้ลดความเสี่ยงหลังคาพังและน้ำฝนสะสม
- 5. ดูดน้ำขังจากพื้นบ้านด้วยเครื่องดูดฝุ่นดูดน้ำ
ในบางวันฝนตกหนัก น้ำอาจไหลย้อนเข้าทางระเบียงหรือห้องครัว การใช้เครื่องดูดฝุ่นแบบดูดน้ำได้ ช่วยจัดการพื้นเปียกได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันเชื้อราและความลื่น
ตัวอย่าง: บ้านคุณมีน้ำขังบริเวณพื้นครัวหลังฝนตก ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดน้ำขนาดพกพาดูดน้ำออกภายใน 5 นาที ไม่ต้องใช้ผ้าซับหลายรอบ
- 6. ตรวจระบบไฟฟ้าในบ้านอย่างสม่ำเสมอ
ไฟฟ้ารั่วหรือสวิทช์ชำรุดเสี่ยงต่ออันตรายอย่างมาก ควรตรวจปลั๊กที่อยู่ใกล้พื้นหรือใกล้จุดน้ำซึม และเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีระบบป้องกันน้ำ
ตัวอย่าง: คุณติดตั้งปลั๊กไฟแบบมีฝาครอบกันน้ำในห้องซักผ้า ป้องกันไฟช็อตเมื่อน้ำซึมจากข้างนอกเข้ามา
- 7. ใช้เครื่องซักพรมทำความสะอาดพรมที่อับชื้น
พรมและโซฟาผ้ามักดูดซับความชื้นจากอากาศจนเกิดกลิ่นอับ เครื่องซักพรมสามารถทำความสะอาดลึกถึงใยผ้าและช่วยลดเชื้อราในพรม
ตัวอย่าง: คุณใช้เครื่องดูดฝุ่นน้ำแรงสูงทำความสะอาดพรมที่มีกลิ่นอับหลังฝนตกหายอับและชื้น ทำให้พรมกลับมานุ่มสะอาด
- 8. ล้างพื้นทางเดินด้วยเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง
ฝนที่ตกต่อเนื่องอาจทำให้เกิดคราบตะไคร่และพื้นลื่น โดยเฉพาะทางเดินหน้าบ้านและโรงรถ การใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันช่วยล้างพื้นได้สะอาดและเร็ว
ตัวอย่าง: คุณเอใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดล้างพื้นกระเบื้องรอบบ้านทุกสัปดาห์ ป้องกันตะไคร่สะสมที่อาจทำให้ลื่นล้ม
- 9. ใช้พัดลมหรือเครื่องดูดความชื้นช่วยลดชื้นในห้อง
ห้องที่ปิดมิดชิดจะชื้นง่ายมากในฤดูฝน การเปิดพัดลมเป่าในจุดอับ หรือใช้เครื่องดูดความชื้นจะช่วยลดความชื้นสะสม ป้องกันกลิ่นและเชื้อรา
- 10. เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดไว้ใกล้มือ
ช่วงฝนตกควรเตรียมถังผ้าแห้ง ไม้รีดน้ำ เครื่องดูดน้ำ หรือแม้แต่ร่มไว้ใกล้ประตูบ้าน เพื่อให้พร้อมใช้งานทันทีเมื่อฝนมา
ตัวอย่าง: บ้านของคุณสาเตรียมถาดวางรองเท้า, ผ้าซับน้ำ, เครื่องดูดฝุ่นแบบพกพาไว้หน้าเฉลียง ทำให้บ้านไม่เปียกเลอะเมื่อสมาชิกในบ้านเดินกลับเข้ามาจากฝน
ทำไมการดูแลบ้านช่วงฤดูฝนจึงสำคัญ
การดูแลบ้านช่วงฤดูฝนเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะฝนไม่ได้เป็นแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เปียกชุ่มเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบความแข็งแรงของบ้าน และความพร้อมของระบบต่างๆ ภายในบ้านที่เจ้าของบ้านไม่ควรมองข้าม หากละเลยอาจเกิดความเสียหายทั้งต่อทรัพย์สิน สุขภาพ และความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยอย่างร้ายแรง
น้ำท่วม – ภัยเงียบที่แทรกซึมทีละน้อย หากบ้านไม่มีระบบระบายน้ำที่ดี หรืออยู่ในพื้นที่ต่ำ น้ำฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องอาจท่วมขังทั้งภายในและภายนอกบ้าน การปล่อยให้น้ำท่วมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่งผลให้โครงสร้างบ้าน โดยเฉพาะส่วนฐานราก พื้น และผนังอิฐ อาจพังทลายหรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ น้ำท่วมยังนำพาเชื้อโรค สิ่งสกปรก และสัตว์มีพิษเข้ามาในบ้าน เช่น งู หนู หรือแมลงสาบ ซึ่งเป็นอันตรายโดยตรงต่อผู้อยู่อาศัย
ปัญหาหลังคารั่ว-ผนังซึม – ศัตรูเงียบที่ทำให้บ้านพังช้าๆ จุดอ่อนอันดับต้นๆ ที่ฝนมักจะเล่นงานก็คือ หลังคาและผนัง ถ้ามีรอยแตกร้าวหรือวัสดุกันซึมเสื่อมสภาพ น้ำฝนจะซึมเข้าสู่ภายในบ้านโดยไม่ทันรู้ตัว เกิดเป็นรอยด่าง ความเปียกชื้น หรือกระทั่งหยดน้ำในห้องนอน ห้องรับแขก หรือจุดที่มีสายไฟพาดผ่าน ซึ่งไม่เพียงทำให้บ้านดูโทรม แต่ยังเสี่ยงต่อไฟฟ้าลัดวงจรในอนาคตอีกด้วย
ความชื้นสะสม – จุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่ ฤดูฝนคือช่วงเวลาที่ความชื้นในอากาศสูงกว่าปกติ ส่งผลให้วัสดุต่างๆ ภายในบ้าน เช่น ไม้ พรม ผ้าม่าน หรือแม้แต่เฟอร์นิเจอร์มีโอกาสอมน้ำและเกิดการบวม เสียรูป หรือเสื่อมคุณภาพ ความชื้นยังเป็นตัวเร่งให้เกิดปัญหาอื่นตามมา เช่น กลิ่นอับ เชื้อรา และโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะในบ้านที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
เชื้อราและแบคทีเรีย – ปัญหาสุขภาพที่ต้องจัดการ เชื้อราในบ้านไม่ได้แค่ทำให้บ้านดูสกปรก หรือส่งกลิ่นเหม็นเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยเงียบต่อสุขภาพ ปัญหานี้พบบ่อยในห้องน้ำ ห้องครัว และบริเวณที่เกิดการรั่วซึม เมื่อรวมกับความชื้น เชื้อราและแบคทีเรียก็เติบโตได้รวดเร็ว ส่งผลให้เกิดอาการภูมิแพ้ หอบหืด หรือแม้แต่ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
อันตรายจากไฟฟ้า – ความเสี่ยงที่อาจถึงชีวิต ไฟฟ้าและน้ำเป็นของที่อยู่ร่วมกันไม่ได้เด็ดขาด หากมีน้ำรั่วซึมหรือท่วมขังบริเวณที่มีสายไฟ ปลั๊กไฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า โอกาสที่จะเกิดไฟฟ้ารั่ว ไฟช็อต หรือไฟไหม้บ้านก็สูงมาก ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ทันที นอกจากนี้ ความชื้นยังทำให้ระบบไฟฟ้าเสื่อมสภาพเร็วขึ้นอีกด้วย
วัสดุก่อสร้างเสื่อมสภาพ – ต้นเหตุของค่าใช้จ่ายซ่อมแซมมหาศาล ฤดูฝนทำให้วัสดุต่างๆ เช่น ปูน สี ท่อระบายน้ำ หรือหลังคาเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ เมื่อความชื้นเข้าไปสะสมในโครงสร้างและไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม จะเกิดการแตกร้าว หลุดลอก หรือพังทลายได้ง่ายขึ้น ซึ่งหมายถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงขึ้น และยังทำให้บ้านขาดความมั่นคงปลอดภัยในระยะยาว
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับบ้านในฤดูฝน
- ผนังลอกและสีหลุดลอก
เมื่อฝนตกและความชื้นสะสมภายในบ้านจะทำให้สีทาผนังไม่สามารถยึดติดกับพื้นผิวได้ดี ส่งผลให้ผนังบ้านลอกหลุด หรือเกิดรอยด่างคล้ำตามจุดที่มีความชื้นสูง หากไม่ระมัดระวัง ผนังอาจพังและต้องซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน
- พื้นไม้บวม
ไม้ที่ใช้ปูพื้นในบ้านนั้นจะมีแนวโน้มบวมเมื่อโดนความชื้นมากๆ พื้นไม้จะขยายตัวและทำให้เกิดรอยแตกหรือความไม่เรียบ นอกจากจะทำให้พื้นบ้านดูไม่น่ามองแล้ว ยังเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุจากการเดินลื่นหรือล้มได้ง่าย
- กลิ่นอับและความชื้นสะสม
เมื่อบ้านมีความชื้นสูงในฤดูฝน จะเกิดกลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์จากสิ่งต่างๆ ภายในบ้าน เช่น พรม ผ้าม่าน หรือวัสดุที่ดูดซับน้ำอย่างไม้และหนัง กลิ่นอับนี้ไม่เพียงแต่ทำให้บรรยากาศในบ้านไม่น่าอยู่ ยังส่งผลต่อสุขภาพระบบทางเดินหายใจและการนอนหลับ
- เชื้อราและแบคทีเรีย
ความชื้นที่สะสมในมุมต่างๆ ของบ้าน เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรือผนังที่รั่วซึมเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย เชื้อราสามารถทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ และอาจทำให้เกิดอาการหอบหืดหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่ส่งผลต่อผู้สูงอายุและเด็ก
- ปลวกขึ้น
ในฤดูฝนที่มีความชื้นสูง ปลวกมักจะออกมาหากินในบ้านที่มีไม้และวัสดุจากธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชื้นสะสม ปลวกสามารถสร้างความเสียหายให้กับเฟอร์นิเจอร์ ไม้กั้นห้อง หรือโครงสร้างบ้านที่มีส่วนประกอบจากไม้ได้มาก
- สัตว์เลื้อยคลานและแมลง
เมื่อฝนตกหนัก น้ำท่วมขังในพื้นที่ต่างๆ จะทำให้สัตว์เลื้อยคลาน เช่น งู จิ้งจก หรือแมลงต่างๆ หนีน้ำเข้ามาในบ้าน ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายหรือความรู้สึกไม่สบายใจสำหรับผู้อยู่อาศัย การดูแลพื้นที่รอบบ้านให้สะอาดและไม่มีแหล่งน้ำขังจึงเป็นการป้องกันที่ดี
- ท่อระบายน้ำอุดตัน
ในช่วงฤดูฝนที่ฝนตกหนักและต่อเนื่อง ถ้าท่อระบายน้ำหรือรางน้ำฝนอุดตันด้วยใบไม้ เศษขยะ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ จะทำให้การระบายน้ำไม่สะดวก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังบริเวณรอบบ้าน ซึ่งอาจทำให้พื้นบ้านเสียหายหรือเกิดปัญหาความชื้นสะสมภายในบ้านได้
- หลังคารั่ว
เมื่อฝนตกหนักและมีลมพัดแรง อาจทำให้หลังคาและรางน้ำฝนที่มีการเสื่อมสภาพหรือมีรอยรั่วซึมมานานเกิดการรั่วซึม น้ำฝนจะซึมเข้าไปภายในบ้าน ทำให้ผนังเสียหาย พื้นเสียหาย หรือเกิดคราบน้ำบนฝ้าเพดานได้
- การเสื่อมสภาพของวัสดุก่อสร้าง
วัสดุก่อสร้างบางประเภท เช่น ปูนซีเมนต์ อิฐ หรือวัสดุก่อสร้างบางชนิดอาจได้รับความเสียหายจากความชื้นในช่วงฤดูฝน หากไม่ได้รับการดูแลหรือซ่อมแซมอย่างสม่ำเสมอ ผนังหรือโครงสร้างบ้านอาจแตกหักหรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
วิธีป้องกันยุงและแมลงในฤดูฝน
- จัดการแหล่งน้ำขัง
น้ำขังในพื้นที่ต่างๆ รอบบ้านคือแหล่งเพาะพันธุ์หลักของยุงและแมลง ดังนั้นการป้องกันควรเริ่มจากการกำจัดแหล่งน้ำขังที่ไม่จำเป็น เช่น:
- ปรับระดับหน้าดิน: ควรปรับพื้นที่ดินให้มีการระบายน้ำที่ดีและไม่ให้เกิดแอ่งน้ำขัง เพื่อไม่ให้มีน้ำขังทิ้งไว้ในพื้นที่ต่างๆ รอบบ้าน
- ใช้กระถางแบบยกพื้น: กระถางหรือภาชนะปลูกต้นไม้ที่ยกพื้นช่วยให้ระบายน้ำได้ดีและไม่เป็นแหล่งสะสมของน้ำฝน
- ทำทางน้ำไหลในสวน: การสร้างทางเดินน้ำในสวนหรือพื้นรอบบ้านช่วยให้น้ำฝนไม่ขัง และสามารถไหลออกไปได้อย่างสะดวก
- ใช้กรวดแทนดินในบางพื้นที่: การใช้กรวดหรือวัสดุที่ไม่สามารถสะสมน้ำได้ เช่น หินกรวดในบางจุดของสวน ช่วยป้องกันไม่ให้ดินกลายเป็นแหล่งสะสมของน้ำขัง
- ใช้สเปรย์หรือเครื่องพ่นไล่ยุงแบบปลอดภัย
การใช้สเปรย์หรือเครื่องพ่นไล่ยุงที่ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยงภายในบ้านเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันยุงและแมลง:
- เลือกสเปรย์ที่ปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย: ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น สเปรย์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้หอมหรือยูคาลิปตัส
- เครื่องพ่นอัตโนมัติ: สามารถใช้เครื่องพ่นไล่ยุงที่ตั้งเวลาได้ ซึ่งทำงานได้ตลอดทั้งวัน โดยไม่ต้องพ่นเองทุกครั้ง ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของยุงในบ้าน
- ปลูกต้นไม้ไล่แมลงในบ้านและรอบบ้าน
การปลูกต้นไม้บางชนิดสามารถช่วยไล่แมลงและยุงได้ตามธรรมชาติ เช่น:
- ตะไคร้หอม: เป็นหนึ่งในพืชที่มีสรรพคุณในการไล่ยุงได้ดี ควรปลูกไว้ในบริเวณสวนหรือตามระเบียงบ้าน
- ลาเวนเดอร์: กลิ่นหอมของลาเวนเดอร์สามารถช่วยขับไล่ยุงและแมลงได้
- ยูคาลิปตัส: มีสรรพคุณในการไล่ยุงและแมลง สามารถปลูกในกระถางหรือสวนรอบบ้าน
- จัดสวนและพื้นที่รอบบ้านอย่างไม่ให้กลายเป็นแอ่งน้ำ
การดูแลสวนและพื้นที่รอบบ้านมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงจากน้ำขัง:
- การเลือกใช้วัสดุที่ไม่เก็บน้ำ: ใช้กรวด หิน หรือวัสดุที่ช่วยให้พื้นไม่เก็บน้ำสะสมได้ง่าย
- การออกแบบสวนให้มีการไหลของน้ำ: ปรับพื้นที่สวนให้มีการระบายน้ำที่ดี ไม่ให้มีน้ำขังเกินไปในจุดใดจุดหนึ่ง
- ตรวจสอบภาชนะที่เก็บน้ำ: หากมีภาชนะใส่น้ำเช่นถังน้ำ ฝาน้ำฝน หรือภาชนะที่สามารถเก็บน้ำได้ ต้องตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอว่ามีการสะสมของน้ำหรือไม่ และทำการเทน้ำออกทันที
ด้วยการดูแลและการจัดการที่ดีในช่วงฤดูฝนนี้ คุณสามารถลดปัญหายุงและแมลงที่อาจจะรบกวนได้ และทำให้บ้านของคุณปลอดภัยจากเชื้อโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากคุณอ่านบทความนี้แล้วมีความสนใจที่จะสั่งซื้อเครื่องดูดฝุ่นคุณภาพ ติดต่อเราได้ที่ BermudaBKK