ทำความรู้จัก ฝุ่นจากการก่อสร้าง อันตรายแค่ไหน

ทำความรู้จัก ฝุ่นจากการก่อสร้าง อันตรายแค่ไหน ในการก่อสร้างอาคาร ถนน และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ มักจะมีฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศโดยที่เราอาจมองไม่เห็น ฝุ่นจากการก่อสร้างเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งสกปรกที่รบกวนการมองเห็นหรือทำให้พื้นผิวเลอะเทอะเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยอันตรายที่อาจส่งผลต่อสุขภาพของเราในระยะยาว โดยเฉพาะอนุภาคฝุ่นขนาดเล็ก เช่น PM2.5 และสารเคมีปนเปื้อนที่อาจเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับฝุ่นจากการก่อสร้าง ประเภทของฝุ่นที่พบได้บ่อย ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงแนวทางป้องกันเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในพื้นที่ก่อสร้างและบริเวณใกล้เคียง
ฝุ่นจากการก่อสร้างมีอะไรบ้าง
ฝุ่นซิลิกา (Silica Dust):
ฝุ่นซิลิกาเป็นหนึ่งในฝุ่นอันตรายที่พบได้บ่อยในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และงานที่เกี่ยวข้องกับหินและคอนกรีต ฝุ่นชนิดนี้สามารถก่อให้เกิดโรคร้ายแรง เช่น ซิลิโคซิส (Silicosis) และ มะเร็งปอด หากสูดดมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก
แหล่งที่มาของฝุ่นซิลิกา
ฝุ่นซิลิกาเกิดจากกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับวัสดุที่มี ซิลิกา (Silicon Dioxide, SiO₂) ในรูปของผลึก (Crystalline Silica) ซึ่งพบในวัสดุก่อสร้างหลายชนิด ได้แก่
- คอนกรีต
- อิฐ
- หินแกรนิต
- กระเบื้องเซรามิก
- ทราย
กระบวนการที่ทำให้เกิดฝุ่นซิลิกา
- การตัด เจาะ เจียร ขัด หรือทุบคอนกรีตและหิน
- การทำเหมืองแร่ และการขุดเจาะหิน
- การผลิตและติดตั้งพื้นหินอ่อนหรือหินควอทซ์
- การพ่นทราย (Sandblasting)
อันตรายจากฝุ่นซิลิกา
ฝุ่นซิลิกาที่มีขนาดเล็กกว่า PM2.5 สามารถเข้าสู่ปอดและก่อให้เกิดโรคที่ร้ายแรง ได้แก่
1. โรคปอดจากฝุ่นซิลิกา (Silicosis)
โรคนี้เกิดจากการสะสมของฝุ่นซิลิกาในปอด ทำให้เกิดพังผืดและลดประสิทธิภาพการทำงานของปอด ไม่มีทางรักษาให้หายขาด และอาการจะแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป
ประเภทของซิลิโคซิส
- เฉียบพลัน (Acute Silicosis) เกิดภายในไม่กี่เดือนจากการได้รับฝุ่นในปริมาณสูง
- เรื้อรัง (Chronic Silicosis) เกิดขึ้นช้า ๆ เป็นเวลาหลายปีจากการสัมผัสฝุ่นซิลิกาปริมาณน้อยแต่ต่อเนื่อง
- เร่งรัด (Accelerated Silicosis) เกิดเร็วขึ้นภายใน 5-10 ปี หลังได้รับฝุ่นซิลิกามากเกินไป
2. มะเร็งปอด (Lung Cancer)
องค์การอนามัยโลก (WHO) และสำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) จัดให้ฝุ่นซิลิกาเป็น สารก่อมะเร็ง ในกลุ่มที่ 1 ซึ่งหมายถึงเป็นสารที่มีหลักฐานชัดเจนว่าสามารถก่อให้เกิดมะเร็งปอดได้
3. โรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ทำให้หายใจลำบากและเกิดภาวะหายใจล้มเหลว
- วัณโรค (Tuberculosis, TB) เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรคในผู้ที่ทำงานสัมผัสฝุ่นซิลิกาเป็นเวลานาน
- โรคไตเรื้อรัง ฝุ่นซิลิกาอาจส่งผลกระทบต่อไตและทำให้เกิดโรคไตวาย
แนวทางป้องกันฝุ่นซิลิกา
สำหรับผู้ปฏิบัติงานก่อสร้าง
- ใส่หน้ากากป้องกันฝุ่น (N95 หรือสูงกว่า) ที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้
- ใช้ระบบดูดฝุ่น (Local Exhaust Ventilation, LEV) เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่น
- ฉีดน้ำพรมก่อนตัดหรือเจาะวัสดุที่มีซิลิกา เพื่อลดปริมาณฝุ่นในอากาศ
- ใช้เครื่องมือที่มีระบบดูดฝุ่นในตัว เช่น เครื่องเจียรพร้อมตัวดูดฝุ่น
- ตรวจสุขภาพปอดเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานสัมผัสฝุ่นซิลิกาเป็นเวลานาน
สำหรับนายจ้างและผู้ควบคุมงาน
- จัดให้มีมาตรการควบคุมฝุ่นภายในไซต์งาน เช่น การใช้ผ้าใบคลุมวัสดุ การติดตั้งระบบดูดฝุ่น และการกำหนดพื้นที่ปฏิบัติงานเฉพาะ
- ให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับอันตรายของฝุ่นซิลิกาและวิธีป้องกัน
- ติดตั้งระบบระบายอากาศในพื้นที่ปิดที่มีการใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดฝุ่นซิลิกา
- ตรวจสอบสภาพแวดล้อมในการทำงานและปริมาณฝุ่นซิลิกาในอากาศตามมาตรฐานความปลอดภัย
สำหรับประชาชนทั่วไป
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้พื้นที่ก่อสร้างที่มีฝุ่นฟุ้งกระจาย
- ปิดประตูหน้าต่างและใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA เพื่อกรองฝุ่นขนาดเล็ก
- สวมหน้ากากป้องกันฝุ่นหากต้องเดินทางผ่านพื้นที่ก่อสร้าง
ฝุ่นไม้ (Wood Dust)

ฝุ่นไม้เป็นฝุ่นที่เกิดจากกระบวนการตัด ขัด หรือเลื่อยไม้ ซึ่งพบได้บ่อยในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ งานไม้ และงานก่อสร้าง ฝุ่นไม้สามารถก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพ เช่น การระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ และ มะเร็งจมูก ในกรณีที่สัมผัสฝุ่นไม้บางชนิดเป็นเวลานาน
แหล่งที่มาของฝุ่นไม้
ฝุ่นไม้เกิดจากกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปไม้ ได้แก่
- การตัดไม้ด้วยเลื่อยวงเดือน เลื่อยสายพาน หรือเลื่อยไฟฟ้า
- การขัดไม้ด้วยกระดาษทราย เครื่องขัด หรือเครื่องเจียร
- การกลึงไม้เพื่อทำชิ้นงานเฟอร์นิเจอร์
- การเจาะไม้และตอกตะปู
- การผลิตไม้อัด ไม้ MDF และไม้แปรรูปอื่น ๆ
อันตรายจากฝุ่นไม้
ฝุ่นไม้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านการสูดดม ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของไม้และระยะเวลาที่สัมผัส
1. ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ
- ฝุ่นไม้สามารถทำให้เกิดอาการ ไอ จาม น้ำมูกไหล และหายใจติดขัด
- ผู้ที่สูดดมฝุ่นไม้เป็นเวลานานอาจเกิด โรคหืดจากการทำงาน (Occupational Asthma)
- บางคนอาจมีอาการแพ้จากฝุ่นไม้ เช่น ผื่นคันและอาการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก
2. มะเร็งจมูก (Nasal Cancer)
- องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ฝุ่นไม้เป็น สารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 (Group 1 Carcinogen)
- ไม้บางชนิด เช่น ไม้โอ๊ค ไม้บีช และไม้มะฮอกกานี มีสารเคมีธรรมชาติที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งโพรงจมูก
- ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นไม้มานานกว่า 10 ปี มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเป็นมะเร็งโพรงจมูก
3. โรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) จากการสูดดมฝุ่นไม้ปริมาณมากเป็นเวลานาน
- ปอดอักเสบจากฝุ่นอินทรีย์ (Hypersensitivity Pneumonitis) ซึ่งเป็นอาการอักเสบเรื้อรังของปอด
- การติดเชื้อราจากไม้บางชนิด โดยเฉพาะหากไม้มีเชื้อราปะปนอยู่
แนวทางป้องกันฝุ่นไม้
สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่สัมผัสฝุ่นไม้โดยตรง
- สวมหน้ากากกันฝุ่นชนิด N95 หรือสูงกว่า เพื่อป้องกันการสูดดมฝุ่น
- ใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือระบบดูดอากาศขณะทำงานกับไม้
- ฉีดน้ำพรมบนไม้ก่อนขัดหรือตัดเพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่น
- สวมชุดป้องกันและล้างมือให้สะอาดหลังทำงานเสร็จ
- หลีกเลี่ยงการเป่าฝุ่นออกจากเสื้อผ้าหรือพื้นที่ทำงานด้วยลมแรง เพราะอาจทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายในอากาศ
สำหรับโรงงานและสถานประกอบการ
- ติดตั้ง ระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ เพื่อกำจัดฝุ่นในโรงงาน
- ใช้เครื่องจักรที่มีระบบดูดฝุ่นในตัว
- กำหนดโซนทำงานเฉพาะสำหรับงานที่ก่อให้เกิดฝุ่นไม้
- จัดให้มีการตรวจสุขภาพพนักงานเป็นระยะ เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบจากฝุ่นไม้
สำหรับประชาชนทั่วไป
- หลีกเลี่ยงการทำงานกับไม้ในพื้นที่ปิดที่ไม่มีการระบายอากาศ
- ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA หากต้องทำงานกับไม้ในบ้าน
- ล้างจมูกและทำความสะอาดร่างกายหลังสัมผัสฝุ่นไม้
ฝุ่นแร่ใยหิน (Asbestos Dust)
ฝุ่นแร่ใยหินเกิดจากการรื้อถอนหรือซ่อมแซมวัสดุก่อสร้างเก่าที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ เช่น ฉนวนกันความร้อน กระเบื้องหลังคา และแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ เมื่อวัสดุเหล่านี้แตกหักหรือถูกทำลาย เส้นใยแอสเบสตอสจะฟุ้งกระจายในอากาศ และสามารถเข้าสู่ปอดหากสูดดม
อันตรายจากฝุ่นแร่ใยหิน
- มะเร็งปอด ฝุ่นแร่ใยหินเป็นสารก่อมะเร็งที่สามารถสะสมในปอดและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
- โรคแอสเบสโตซิส (Asbestosis) เกิดจากการสะสมของเส้นใยแอสเบสตอสในปอด ทำให้ปอดแข็งตัวและสูญเสียความยืดหยุ่น ส่งผลให้หายใจลำบาก
แนวทางป้องกันฝุ่นแร่ใยหิน
- ห้ามรื้อถอนวัสดุที่มีแร่ใยหินโดยไม่มีมาตรการควบคุมฝุ่น
- ใช้เครื่องมือที่มีระบบดูดฝุ่นและฉีดน้ำพรมก่อนการรื้อถอน
- สวมหน้ากากกันฝุ่นระดับ P100 ที่สามารถกรองเส้นใยขนาดเล็กได้
- หลีกเลี่ยงการกวาดฝุ่นใยหิน เพราะอาจทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
ฝุ่นโลหะ (Metal Dust)
ฝุ่นโลหะเกิดจากกระบวนการ ตัด เจียร เชื่อม หรือขัดเงาโลหะ เช่น เหล็ก ตะกั่ว อลูมิเนียม และทองแดง โดยสามารถแพร่กระจายในอากาศและเข้าสู่ร่างกายทางการหายใจหรือการสัมผัส
อันตรายจากฝุ่นโลหะ
- พิษต่อระบบประสาท ฝุ่นโลหะหนัก เช่น ตะกั่วและปรอท สามารถสะสมในร่างกายและทำลายเซลล์ประสาท
- ผลกระทบต่อปอด การสูดดมฝุ่นโลหะอาจทำให้เกิด โรคปอดจากการทำงานกับโลหะ (Metal Fume Fever) และ โรคปอดอักเสบ
- อวัยวะภายในเสียหาย ฝุ่นบางชนิด เช่น แคดเมียมและโครเมียม อาจทำให้ไตและตับถูกทำลาย
แนวทางป้องกัน
- ใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นที่เหมาะสม เช่น หน้ากาก P100 หรือ N95
- ติดตั้งระบบระบายอากาศและเครื่องดูดควันขณะทำงาน
- ล้างมือและเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังสัมผัสฝุ่นโลหะ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำในบริเวณที่มีฝุ่นโลหะ
ฝุ่นเคมี (Chemical Dust)
ฝุ่นเคมีเกิดจากการใช้งานสารเคมีแห้งในงานก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์ ผงปูนขาว และสารเคมีอื่น ๆ ซึ่งสามารถฟุ้งกระจายและส่งผลกระทบต่อร่างกายผ่านทางการสัมผัสและสูดดม
อันตรายจากฝุ่นเคมี
- ระคายเคืองผิวหนัง ฝุ่นจากปูนซีเมนต์และสารเคมีบางชนิดอาจทำให้ผิวหนังแห้ง แตก หรือเกิดอาการแพ้
- อันตรายต่อดวงตา ฝุ่นเคมีสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบที่ดวงตา
- ผลกระทบต่อปอด การสูดดมฝุ่นปูนหรือสารเคมีบางชนิดเป็นเวลานานอาจทำให้เกิด โรคปอดจากฝุ่นซีเมนต์ หรือ ภาวะปอดอักเสบจากสารเคมี
แนวทางป้องกัน
- สวมแว่นตาป้องกันสารเคมีและถุงมือขณะทำงานกับสารเคมีแห้ง
- ใช้หน้ากากกันฝุ่น N95 หรือ P100 เพื่อป้องกันการสูดดมสารเคมี
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีโดยตรง และล้างมือให้สะอาดหลังการทำงาน
- ติดตั้งระบบระบายอากาศในพื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีปริมาณมาก
วิธีทำความสะอาดฝุ่นที่เกิดจากการก่อสร้าง
1. การเตรียมตัวก่อนทำความสะอาด
- สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): ใช้หน้ากากกันฝุ่น (อย่างน้อย N95 หรือสูงกว่า ถ้าเป็นฝุ่นพิษ เช่น แร่ใยหิน), ถุงมือ, แว่นตานิรภัย และชุดป้องกัน (ถ้าจำเป็น)
- ปิดกั้นพื้นที่: ใช้พลาสติกหรือผ้าคลุมปิดบริเวณที่ไม่ต้องการให้ฝุ่นฟุ้งกระจายเพิ่ม
- ระบายอากาศ: เปิดหน้าต่างหรือใช้พัดลมดูดอากาศเพื่อลดฝุ่นในอากาศ แต่หลีกเลี่ยงการเป่าฝุ่นโดยตรง
2. วิธีทำความสะอาด
แบบเปียก (แนะนำมากที่สุด)
- ฉีดน้ำลดฝุ่น: ใช้ขวดสเปรย์หรือเครื่องฉีดน้ำเบา ๆ ฉีดน้ำให้ฝุ่นชื้น เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจาย (อย่าใช้น้ำมากเกินไปจนเกิดโคลน)
- เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำ: ใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดพื้นผิว เช่น โต๊ะ ชั้นวาง หรือพื้น เปลี่ยนผ้าบ่อย ๆ เมื่อสกปรก
- ถูพื้นด้วยน้ำ: ใช้ไม้ถูพื้นกับน้ำสะอาดผสมน้ำยาทำความสะอาดอ่อน ๆ (ถ้าจำเป็น) แล้วตามด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
แบบแห้ง (ใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น)
- เครื่องดูดฝุ่น HEPA: ใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีตัวกรอง HEPA (High-Efficiency Particulate Air) ซึ่งสามารถดักจับฝุ่นละเอียดได้ดี หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องดูดฝุ่นธรรมดาที่อาจเป่าฝุ่นกลับออกมา
- ไม้กวาดแบบนุ่ม: กวาดเบา ๆ เพื่อรวมฝุ่นเป็นกอง แล้วใช้ที่โกยฝุ่นเก็บ วิธีนี้เหมาะกับฝุ่นหยาบเท่านั้น ไม่แนะนำกับฝุ่นละเอียด
3. การกำจัดฝุ่น
- ทิ้งอย่างปลอดภัย: ใส่ฝุ่นที่เก็บได้ในถุงขยะหนา ๆ มัดปากถุงให้แน่น หากเป็นฝุ่นอันตราย (เช่น แร่ใยหิน) ต้องทิ้งตามกฎหมายท้องถิ่น เช่น ส่งไปยังสถานที่กำจัดของเสียอันตราย
- ล้างอุปกรณ์: ล้างผ้า ไม้ถูพื้น หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ให้สะอาด เพื่อป้องกันฝุ่นสะสม
4. การป้องกันฝุ่นเพิ่มเติม
- ใช้เครื่องฟอกอากาศ: ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่มีตัวกรอง HEPA ในบริเวณที่เพิ่งทำความสะอาด เพื่อดักจับฝุ่นที่อาจหลงเหลือในอากาศ
- ตรวจสอบซ้ำ: หลังทำความสะอาด ตรวจดูว่ามีฝุ่นตกค้างตามมุมหรือพื้นผิวสูง (เช่น พัดลมเพดาน) หรือไม่
ข้อควรระวัง
- ห้ามใช้พัดลมเป่าฝุ่น: การเป่าจะทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายและสูดดมได้ง่ายขึ้น
- ระวังฝุ่นพิษ: ถ้าสงสัยว่ามีฝุ่นอันตราย (เช่น แร่ใยหิน ฝุ่นตะกั่ว) ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญมาจัดการ แทนการทำเอง
- สุขภาพ: หากมีอาการไอ หายใจลำบาก หรือระคายเคืองหลังทำความสะอาด ควรพบแพทย์
เครื่องดูดฝุ่นอุตสาหกรรม
เหมาะกับฝุ่นก่อสร้างเมื่อไหร่:
- ฝุ่นละเอียดและอันตราย: เช่น ฝุ่นซิลิกา แร่ใยหิน หรือฝุ่นปูน ที่ต้องการการกรองระดับสูงเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายและสูดดม
- พื้นที่ในร่มหรือจำกัด: เช่น ภายในอาคารหรือไซต์งานที่ต้องการควบคุมฝุ่นไม่ให้กระจายไปไกล
- งานที่ต้องการความสะอาดสูง: เช่น หลังการก่อสร้างเสร็จ เพื่อเก็บฝุ่นละเอียดที่ตกค้าง
คุณสมบัติที่ควรมี:
- ตัวกรอง HEPA: ดักจับฝุ่นขนาดเล็ก (0.3 ไมครอน) ได้ 99.97% เหมาะกับฝุ่นอันตราย
- ระบบดูดแห้ง-เปียก: เพราะฝุ่นก่อสร้างอาจมาพร้อมน้ำหรือของเหลว (เช่น ปูนเปียก)
- ความทนทาน: ต้องรับมือกับฝุ่นหยาบและละเอียดปริมาณมากได้ เช่น ถังขนาด 30-80 ลิตร
- กำลังดูดสูง: เพื่อจัดการฝุ่นหนัก เช่น รุ่นอุตสาหกรรมจากแบรนด์ Karcher, Bosch หรือ Klenco
หากคุณอ่านบทความนี้แล้วมีความสนใจที่จะสั่งซื้อเครื่องดูดฝุ่นอุตสาหกรรม คุณภาพดี ติดต่อเราได้ที่ BermudaBKK